แชร์

โรควิตกกังวลไปทั่ว (Generalized Anxiety Disorder)

อัพเดทล่าสุด: 29 ก.ย. 2024
78 ผู้เข้าชม

โรควิตกกังวลไปทั่ว เป็นภาวะทางจิตใจที่มีความวิตกกังวล หรือเครียดในหลายสถานการณ์และกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องการงาน ครอบครัว หรือสุขภาพ ผู้ป่วยอาจวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อยในชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน โดยทั่วไปผู้ป่วยจะรู้สึกวิตกกังวลอย่างต่อเนื่องเกินกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
 
โรควิตกกังวลไปทั่ว มีอาการอย่างไร ?
มีความรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันทั่วไปหลายเรื่อง เช่น ปัญหาสุขภาพ การเรียน
การงาน การเข้าสังคม ชีวิตสมรสและครอบครัว ซึ่งความกังวลเหล่านั้นมีมากจนเกินเหตุ และเป็นมานานอย่างน้อย 6 เดือน แล้วรู้สึกว่าควบคุมความกังวลนั้นได้ลำบาก ส่งผลรบกวนสมาธิในการทำงาน และก่อให้เกิดเป็นปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น ร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ 3 อาการขึ้นไป


  • กระสับกระส่าย ตื่นเต้น กระวนกระวายใจ
    2. อ่อนล้า เพลีย เหนื่อยง่าย
    3. ใจลอย ขาดสมาธิ
    4. หงุดหงิดง่าย กลัว ไม่สบายใจ
    5. ปวดตึงกล้ามเนื้อ มือเท้าเย็น เหงื่อออกง่าย
    6. มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ
     
    โรควิตกกังวลไปทั่ว สาเหตุเกิดจากอะไร ?
    1.     ปัจจัยทางชีวภาพ อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก
    รวมถึง อาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยบุคคลที่มีสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นโรควิตกกังวลมาก่อน ก็จะมีแนวโน้มเป็นได้มากกว่าคนทั่วไป
    2.     ปัจจัยทางจิตสังคม อาจเกิดจากบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย การอยู่ในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่ตึงเครียดเป็นเวลานาน เช่น การเจ็บป่วยในระยะยาว ได้รับบาดเจ็บหรือประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ความรุนแรงในครอบครัว ถูกล่วงละเมิด ถูกกลั่นแกล้ง หรือไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม เป็นต้น

    3.     พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การบริโภคเครื่องดื่มคาเฟอีน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด เป็นต้น

    โรควิตกกังวลไปทั่ว มีแนวทางการรักษาอย่างไร ?
    1.     การบำบัดจิตใจด้วยการทำจิตบำบัด
    การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงความคิดเชิงลบ มีการปรับพฤติกรรมในแง่ลบของผู้ป่วยให้สอดคล้องกับความเป็นจริง และมีทักษะในการจัดการอารมณ์และทักษะในการแก้ปัญหาที่ดียิ่งขึ้น
    2.     การใช้ยาทางจิตเวช โดยใช้ยาในกลุ่มคลายกังวล และยาในกลุ่มต้านซึมเศร้า เพื่อปรับความสมดุลของสารเคมีในสมองได้
    3.     การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและหมั่นดูแลตัวเอง โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยปรับอารมณ์ให้ดียิ่งขึ้นได้
    4.     การทำสมาธิและการฝึกสติจะช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบัน ช่วยลดความคิดกังวลเกี่ยวกับอนาคตให้เรามีสติรู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตัวเอง รวมถึง การฝึกหายใจเข้า-ออกอย่างถูกวิธี ก็เป็นเทคนิคที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการลดความกังวล เพราะจะช่วยลดการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการตอบสนองต่อความเครียด
    5.     การฝึกจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ ในชีวิต เขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับความรู้สึกและชีวิตส่วนตัว เพื่อเฝ้าสังเกตพฤติกรรมและความคิดของตัวเองอยู่เสมอ
    6.     การสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อนสนิทหรือคนใกล้ชิด ส่งเสริมการสื่อสารที่ดีภายในครอบครัว เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว และพร้อมเผชิญหน้าและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy