โรควิตกกังวลไปทั่ว (Generalized Anxiety Disorder)
โรควิตกกังวลไปทั่ว เป็นภาวะทางจิตใจที่มีความวิตกกังวล หรือเครียดในหลายสถานการณ์และกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องการงาน ครอบครัว หรือสุขภาพ ผู้ป่วยอาจวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อยในชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน โดยทั่วไปผู้ป่วยจะรู้สึกวิตกกังวลอย่างต่อเนื่องเกินกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
โรควิตกกังวลไปทั่ว มีอาการอย่างไร ?
มีความรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันทั่วไปหลายเรื่อง เช่น ปัญหาสุขภาพ การเรียน
การงาน การเข้าสังคม ชีวิตสมรสและครอบครัว ซึ่งความกังวลเหล่านั้นมีมากจนเกินเหตุ และเป็นมานานอย่างน้อย 6 เดือน แล้วรู้สึกว่าควบคุมความกังวลนั้นได้ลำบาก ส่งผลรบกวนสมาธิในการทำงาน และก่อให้เกิดเป็นปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น ร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ 3 อาการขึ้นไป
กระสับกระส่าย ตื่นเต้น กระวนกระวายใจ
2. อ่อนล้า เพลีย เหนื่อยง่าย
3. ใจลอย ขาดสมาธิ
4. หงุดหงิดง่าย กลัว ไม่สบายใจ
5. ปวดตึงกล้ามเนื้อ มือเท้าเย็น เหงื่อออกง่าย
6. มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ
โรควิตกกังวลไปทั่ว สาเหตุเกิดจากอะไร ?
1. ปัจจัยทางชีวภาพ อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก
รวมถึง อาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยบุคคลที่มีสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นโรควิตกกังวลมาก่อน ก็จะมีแนวโน้มเป็นได้มากกว่าคนทั่วไป
2. ปัจจัยทางจิตสังคม อาจเกิดจากบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย การอยู่ในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่ตึงเครียดเป็นเวลานาน เช่น การเจ็บป่วยในระยะยาว ได้รับบาดเจ็บหรือประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ความรุนแรงในครอบครัว ถูกล่วงละเมิด ถูกกลั่นแกล้ง หรือไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม เป็นต้น3. พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การบริโภคเครื่องดื่มคาเฟอีน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด เป็นต้น
โรควิตกกังวลไปทั่ว มีแนวทางการรักษาอย่างไร ?
1. การบำบัดจิตใจด้วยการทำจิตบำบัด
การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy - CBT) ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงความคิดเชิงลบ มีการปรับพฤติกรรมในแง่ลบของผู้ป่วยให้สอดคล้องกับความเป็นจริง และมีทักษะในการจัดการอารมณ์และทักษะในการแก้ปัญหาที่ดียิ่งขึ้น
2. การใช้ยาทางจิตเวช โดยใช้ยาในกลุ่มคลายกังวล และยาในกลุ่มต้านซึมเศร้า เพื่อปรับความสมดุลของสารเคมีในสมองได้
3. การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและหมั่นดูแลตัวเอง โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยปรับอารมณ์ให้ดียิ่งขึ้นได้
4. การทำสมาธิและการฝึกสติจะช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบัน ช่วยลดความคิดกังวลเกี่ยวกับอนาคตให้เรามีสติรู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตัวเอง รวมถึง การฝึกหายใจเข้า-ออกอย่างถูกวิธี ก็เป็นเทคนิคที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการลดความกังวล เพราะจะช่วยลดการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการตอบสนองต่อความเครียด
5. การฝึกจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ ในชีวิต เขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับความรู้สึกและชีวิตส่วนตัว เพื่อเฝ้าสังเกตพฤติกรรมและความคิดของตัวเองอยู่เสมอ
6. การสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อนสนิทหรือคนใกล้ชิด ส่งเสริมการสื่อสารที่ดีภายในครอบครัว เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว และพร้อมเผชิญหน้าและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ